แนวทางศึกษาธุรกิจดิจิทัล จัดสรรเงินและเวลาสำหรับการสัมมนา และ Workshop

จัดสรรเงินและเวลา

จัดแบ่งเงินและเวลาสำหรับการสัมมนา และ Workshop อย่างแน่นอนในแต่ละเดือน – วิธีการเรียนรู้มีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสืออย่างเดียวก็ได้ คุณสามารถแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปหารือ และร่วม Workshop จากคนที่คุณไม่เคยรู้จัก หรือคิดอยากจะรู้จักมักคุ้น แต่ไม่เคยเข้าถึงได้สักที เรื่องนี้อาจจะดูง่ายๆ ไม่ต้องมารวมไว้ก็ได้ แต่ผมเจอมาว่าพวกเรามักจะไม่ค่อยได้จัดเวลาไว้สำหรับการไปร่วมแสดงความคิดเห็น และ Workshop สักเท่าไหร่ พอถึงเวลาก็ไม่ไป เพราะจะมีคำกล่าวอ้างต่างๆ นานา ส่วนใครที่คิดว่าประเทศไทยไม่มีคอร์สที่ถูกใจ ก็บินไปHongkong ทัวร์สิงคโปร์เลยครับ หรือเรียนออนไลน์จากเมืองนอกเอาก็ได้

การดูแลบงกชในช่วงเหมันต์

บัวกระถาง

ในประจุบันมีผู้นิยมเลือกซื้อ"บัว" มาปลูกเลี้ยงประดับบ้านกันเป็นปริมาณมาก แต่ปรากฏว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว บัวเหล่านั้นมักจะอับเฉาและตาย ไปในที่สุด ในเรื่องนี้ ดร.เสริมลาภ วสุวัต ผู้ช่ำชองบัวแห่งประเทศไทย จึงขอแนะนำวิธีปลูกเลี้ยงบัวประดับในช่วงฤดูหนาวว่า ในช่วงนี้ตามปกติบัว และไม้น้ำหลายชนิด จะพักการเจริญเติบโต โดยสลัดใบทิ้ง อาหารที่สะสมไว้จะเปลี่ยนสภาพ จากน้ำตาลเป็นแป้ง เพื่อเก็บไว้ในต้น หน่อหรือเหง้า เมื่อหมดฤดูหนาวจะนำอาหารที่สะสมไว้ มาใช้เพื่อการโตขึ้นใหม่อีกครั้ง

การสลัดใบของบัว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสมดุลในน้ำ ตามปกติเมื่อบัว มีการเจริญวัยเต็มที่และมีใบที่สมบูรณ์ ในช่วงตอนกลางวัน ใบจะปรุงอาหารและระบายออกซิเจนลงในน้ำ ทำให้น้ำสะอาดและเกิดความเท่าเทียมกัน แต่เมื่อมีการสลัดใบทิ้ง ปริมาณออกซิเจนจึงลดลง แต่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเน่าสลายของรากบัว หรีอการตายของพืชใต้น้ำ มีเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลให้น้ำในภาชนะที่เลี้ยงบัวเน่าเสีย ทำให้หน่อ หรือเหง้าเน่าตายไปด้วย

อย่างนั้นผู้เลี้ยงบัวประดับ จะต้องหมั่นคอยเก็บซากตะไคร่ สาหร่าย และวัชพืชน้ำ ที่ตายอยู่ในภาชนะบัวออก และเมื่อพบว่าน้ำเริ่มเน่า จะต้องถ่ายน้ำทันที (แต่ถ้าพ้นฤดูหนาวไปแล้ว บัวจะเจริญเติบโตใหม่ ไม่แนะนำให้ถ่ายน้ำบ่อย ๆ) สำหรับผู้ที่เลี้ยงบัวไม่มากนัก จะใช้วิธีเก็บหน่อหรือเหง้าเข้าตู้เย็นในชั้นที่เก็บผัก ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง 5-10 องศาเซลเซียส เมื่อผ่านพ้นหน้าหนาวแล้วค่อยนำออกมาปลูกใหม่ก็ได้ หากผู้เลี้ยงบัว ไม่ต้องการเก็บหัวหรือเหง้าไปแช่ ตู้เย็น ใช้ด่างทับทิมละลายน้ำในภาชนะที่ปลูกบัวให้เป็นสีบานเย็น จะพบว่า ภายใน 2 วัน ตะไคร่น้ำ และสาหร่ายที่หลงเหลืออยู่จะตายหมด จนเป็นตะกอนสีน้ำตาลที่ก้นภาชนะ ให้เก็บซากทิ้งและดูดน้ำออก จนเหลือน้ำประมาณครึ่งหนึ่งของภาชนะ จากนั้นเติมน้ำจืดลงไปให้เท่าเดิม

จะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับขี่อยู่

ยางรถระเบิด

แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว ถ้าหากว่าขณะที่เราขับขี่ไปไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด กับเพื่อน คนรู้ใจ หรือคนในครอบครัว หากประสบอุบัติเหตุยางรถยนต์ระเบิดขึ้น จะรอดไหม จะทำอย่างไรดี เพื่อให้ตัวเรา และทุก ๆ คนในรถพ้นภัย จากเหตุการณ์เช่นนี้

เรื่องยางระเบิดขณะขับรถนั้นมีคำเสนอแนะให้ปฏิบัติตัวดังนี้

1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างแข็งแรง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ตั้งสติให้ดีอย่าตระหนกตกใจ มองกระจกหลัง เพื่อให้ทราบว่า มีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ ๆ อย่าแตะแรงเด็ดขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์อย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถ จะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัว และจะทำให้บังคับรถ ได้ยากยิ่งขึ้น อาจซวดเซ เพราะการเหยียบคลัตช์ เป็นการตัดแรงบิด ของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมือโดยเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความไวรถลดลงพอควร แล้วให้ยกสัญญาณ เลี้ยวเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดน้อยลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลง และหยุดรถยนต์

ข้อสังเกต
เมื่อยางรถระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใด จะระเบิดล้อหน้า หรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถยนต์ก็จะแฉลบ ไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนองเดียวกัน หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม

อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความรวดเร็วสูงมาก ๆ พอยางระเบิด ขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับที่ใช้ความเร็วสูง ๆ จึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับขี่ จึงไม่ควรขับขี่เร็วมาก

ทางที่ดีควรขับขี่ในระดับความเร็วที่ถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความรวดเร็วไม่เกิน 100 กม. ต่อชั่วโมง

ขอบพระคุณผู้สนับสนุน : จำนำรถ