ตลาดรถยนต์สะท้อนสภาพการณ์เศรษฐกิจสมัยนี้อย่างไร

ตลาดรถยนต์

TerraBKK Research ได้รวบรวมยอดขายรถย้อนหลังตั้งปี 2534 - เดือนพฤษจิกายน ปี 2557 เราจะแยกข้อมูลรถออกเป็นประเภท ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน Sedan (Not more than 7 Pass.), รถบรรทุกส่วนบุคคล Van & Pick Up, รถเครื่อง Motorcycle โดยรถยนต์ 3 ประเภทดังกล่าวจะสะท้อนหน่วยเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน

- รถจักรยานยนต์ จะสะท้อนถึงกลุ่มคนที่มีเงินได้ต่ำหรือรากหญ้าของรัฐ
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จะสะท้อนถึงคนที่มีรายรับปานกลางขึ้นไปของรัฐ
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จะสะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มภาคเอกชนและกลุ่มBusinessในบ้านเมือง

เมื่อดูตลาดรถโดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจมีความโอนเอียงลดลงสืบเนื่องโดยเฉพาะ
1. กลุ่มชนชั้นรากหญ้าได้ผลกระทบค่อนข้างมากกำลังซื้อลดน้อยอย่างมาก
2. กลุ่มชนชั้นกลางชะลอการซื้อแต่ไม่ได้รับผลกระทบมากเหมือนวิกฤติในปี 2540
3. กลุ่มธุรกิจและกลุ่มเอกชน (รายได้ปานกลาง) กำลังซื้อชะลอตัวลงแต่แล้วเริ่มชะลอตัวเพลาลงต่ำกว่าปีก่อนหน้า

จากการพิจารณาของทาง TerraBKK Research โดยปกติแล้วตลาดรถจะชะลอตัวลงประมาณ 2-3 ปี ก่อนจะฟื้นตัวกลับมา ซึ่งสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ตลาดรถเริ่มชะลอตัวปีนี้เป็นปีที่ 2 ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าตลาดรถจะชะลอตัวลงในปี 2558 อีก 1 ปีจากภาวการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนหนี้สินภาคครอบครัวที่สูง

จากสถิติจดทะเบียนรถใหม่เดือนพฤษจิกายน 2557 เมื่อเทียบกับในปีก่อนหน้าจะเห็นว่า ลดน้อยลงทุกประเภท ทั้งรถยนต์นั่ง รถบรรทุก และรถเครื่อง ลดลงกว่า 10% ทุกกลุ่ม ตัวเลขดั่งกล่าวคงเป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจในภาพรวมชะลอตัวลงและมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง

สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์มีแนวโน้มของยอดจดทะเบียนรถใหม่ชะลอตัวลงมาตั้งแต่ ปี 2556 ส่งผลกระทบมายังช่วงปัจจุบัน กำลังซื้อส่วนใหญ่จะมาจากประชาชนกลุ่มที่มีรายรับน้อย แสดงว่ายอดจดทะเบียนรถใหม่ที่ลดลงจะบ่งบอกถึงกำลังซื้อส่วนนี้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2556 แล้ว และเริ่มชัดเจนขึ้นในปี 2557 และอัตราการแปรเปลี่ยนไม่มีแนวโน้มการฟื้นตัวจากปีที่แล้วเลย

สำหรับรถบรรทุกส่วนตัว มีสัญญาณชะลอตัวในปี 2556 เช่นเดียวกันกับจักรยานยนต์ แต่การชะลอตัวช้ากว่า และที่น่าสังเกตคือ อัตราการเบาบางลงชะลอตัวลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งตรงนี้ ทาง TerraBKK Research มองว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีของการกลับตัวของภาคกิจการค้าขนาดเล็กในระยะเวลาอันใกล้

สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน Sedan (Not more than 7 Pass.) ยอดจดทะเบียนรถใหม่ในปีนี้ลดลงหลังจากใช้นโยบายรถคันแรก เมื่อเทียบสัดส่วนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ถึงเดือนพฤกษจิกายน ลงถึง 38% กำลังซื้อเบาลงเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังยิ่งกว่าช่วงก่อนใช้นโยบาย

TerraBKK Research มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า 2558 ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่จะได้รับผลกระทบทางตรงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับการรับรู้รายได้ในปี 2558 ยังคงเห็นสัญญาณบวกเพราะ Developer ยังมี Backlog ของปี 2555-2556 (ประมาณ 100,000 หน่วย) สำหรับผู้ประกอบการ (Developer) TerraBKK Research ขอแนะนำให้จับตาดูสัญญาณการเปลี่ยนแปลงยอดขาย “กระบะ” ให้ดี หากเห็นการกลับตัวในไตรมาส 1 ก็คงพอจะสันนิษฐานได้ว่าเศรษฐกิจปี 2558 อาจจะมีภายภาคหน้าสดใสต่อไปได้

การเติมลมยางถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์

การเติมลมยาง

การเติมลมยางถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์ ถ้าขาดการดูแลที่ดี จะเกิดผลเสียดังนี้

เติมลมน้อยเกินไป
ยางจะบวมล่อนได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง ดอกยางสึกผิดปกติ อาจจะสึกที่ขอบยางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง สึกที่ไหล่ยางหรือ
สึกที่ปลายดอก มีความฝึดที่ผิวสัมผัสมาก ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกว่าปกติ

เติมสูบลมมากเกินไป
เมื่อได้รับแรงกระแทกจะระเบิดได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง ดอกยางโดยเฉพาะกลางหน้ายางจะสึกมาก ถ่ายเทการสั่นสะเทือนหรือการ
กระแทกขึ้นสู่ตัวรถได้มาก ขาดความนุ่มนวล

การเติมลมของยางล้อคู่
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมลม และรักษาระดับแรงดันลมในล้อคู่ให้เท่ากัน ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นยางเส้นที่มีแรงดันมากจะรับน้ำหนักมาก
ชำรุดเสียหายง่าย สึกหรอผิดปกติ เส้นที่เติมลมน้อยจะรับน้ำหนักน้อย การสึกของยางจะไม่เรียบเสมอกัน หรือสึกอย่างผิดปกติ

- ไม่ควรปรับความดันลมยางในขณะยางร้อน เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว

- ยางเรเดียลเส้นลวดต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดา

ความแตกต่างของแรงดันลมเพียง 1 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 14 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 400 ก.ก. ถ้าแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./
ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 800 ก.ก. ในกรณีแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว ยางเส้น
ที่เติมลมมาก จะมีอายุใช้งานเพียง 70% เส้นที่ลมยางอ่อนจะมีอายุการใช้งานเหลือเพียง 45% การเติมลมให้เท่ากันจึงมีความจำเป็น
อย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น จึงควรเติมลมให้พอดี ตามเกณฑ์ที่โรงงานกำหนด หรือพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งาน นอกจากต้องเติมลมให้ถูก
ต้องแล้วจะต้องมีการตั้งศูนย์ล้อ ตั้งมุมของล้อหน้า ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานของรถยี่ห้อนั้นๆ อีกด้วย

การตรวจเช็คลมยาง ควรตรวจเช็คในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ และเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่บริษัทรถกำหนด

นอกจากนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเก็บยางไว้นานๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน แสงแดด ลม ฝน ความชื้น น้ำมัน และ
สารเคมีต่างๆ หากสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ อายุการใช้งานของยางก็จะยาวนานขึ้น

ที่มาจาก : auto2thai.com

การจำนำรถที่ยังติดไฟแนนซ์

สำหรับรถที่ยังติดไฟแนนซ์ยังผ่อนไม่หมด เราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เราเป็นเพียงผู้ครอบครองรถเท่านั้น เจ้าของที่แท้จริงก็คือไฟแนนซ์ การเอารถแบบนี้ไปจำนำซึ่งต้องจอดรถ นั่นก็หมายความว่า เราได้ทำผิดกฏหมายคดียักยอกทรัพย์ไปแล้วนะครับ เมื่อเราเริ่มลงมือทำสิ่งผิดกฏหมาย ความเลวร้ายในโลกมืดก็จะเริ่มตามเรามา ศูนย์รับจำนำซึ่งอาจจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือเต็นท์รถ หรือศูนย์รับจำนำที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจจะเอารถเราไปขายต่อ หรือจำนำต่อ หรือสูญหาย เราก็จะทำอะไรเค้าไม่ได้ การฟ้องร้องทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของรถ แต่ไฟแนนซ์เป็นเจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง

หากเราผิดนัดผ่อนค่าจำนำรถกับเต็นท์รับจำนำ เค้าอาจจะเอารถเราไปจำนำต่อ เพราะคนจำนำบางคนก็แสบ ไม่จ่ายจะทำไม ทางเต็นท์หรือศูนย์รับจำนำก็อาจจะขายต่อไปเลย หรือขายแบบหลุดจำนำ ฯลฯ ปัญหาก็จะเริ่มเข้าหาเราล่ะ รถไม่มีแล้ว ไปอยู่ประเทศอื่นแล้ว หรือตามหาไม่เจอแล้ว แต่เรายังต้องผ่อนไฟแนนซ์อยู่ จ่ายไปเปล่าๆ นี่แหละ ไม่จ่ายไฟแนนซ์ก็ฟ้องเราและคนค้ำประกัน เค้าไม่ไปยุ่งกับคนรับจำนำ เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่คุ้มครับ ถ้าชีวิตมันมาถึงทางตันขนาดนี้ ตัดใจครับ กัดฟันปล่อยไปเลย อย่ายุ่งกะมัน หากจำเป็นต้องทำจริงๆ แนะนำให้หาเงินก้อนมาปิดไฟแนนซ์แล้วเอาไปจำนำจอดครับ เพราะไหนๆ ก็ต้องจอดอยู่แล้ว แต่การจำนำจอดดอกเบี้ยจะถูกกว่า เพราะมีแค่ค่าจอดกับค่าดอกเบี้ย และเคลียปัญหาง่ายกว่ามาก โดยเฉพาะหากไฟแนนซ์มีบริการรับจำนำจอดด้วย ผมใช้บริการที่ซี้ตี้ลิสซิ่งซึ่งมีศูนย์ในเครืออย่างออโต้คอนเนอร์ ก็จะสามารถไปปิดไฟแนนซ์ รอรับเล่ม แล้วก็ขับรถเข้าศูนย์ทำสัญญา รับเช็คเอาเช็คไปขึ้นเงิน

อีกทางเลือกแทนการจำนำรถที่ยังติดไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์กรณีที่รถนั้นยังติดไฟแนนซ์เดิมอยู่ก็สามารถทำได้ โดยผู้ให้บริการบางรายจะมีบริการปิดไฟแนนซ์แล้วจัดไฟแนนซ์ให้เราใหม่ แต่ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก กู้ 100000 อาจจะต้องจ่ายเพิ่มรวมๆ แล้วก็ 180,000 ขึ้นไป หากเจอปัญหาหนักขนาดนี้ ตัดใจขายรถไปเลยดีกว่า เช่น ไปลงประกาศขายที่ taladrod.com ที่นี่แม้จะเป็นรถติดไฟแนนซ์ก็ไม่มีปัญหา เพราะทางเว็บไซต์มีบริการปิดไฟแนนซ์ให้ และคนซื้อหากเอกสารพร้อม วันเดียวก็ดำเนินการจบ ได้รถกลับบ้านทันที

* ข้อมูลทั้งหมดผมเล่าจากประสบการณ์ตรง แต่ปัจจุบันนี้ อาจจะแตกต่างกันไป แต่ค่าใช้จ่ายคงไม่น้อยไปกว่าเมื่อก่อนหรือกฏต่างๆ ไม่ลด มีแต่จะเพิ่มเพื่อหาทางดูดเงินจากเรา

จำนำรถยนต์วันนี้

จำนำรถ

มองหาจำนำรถยนต์วันนี้ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนไกล เพราะเราคือหนึ่งในผู้ให้บริการรับจำนำรถยนต์ราคาดี หนึ่งในผู้ให้บริการรถยนต์จำนำ ถ้าคุณนั้นต้องการจำนำรถยนต์ มองหาเราเราคือทางเลือกใหม่ที่ให้ราคาสูงไม่โกงไม่กดราคาได้ราคาที่กันเอง และคุยสะดวกคุยง่ายกันเองแบบสุดๆ หากคุณนั้นมองหาแหล่งจำนำรถยนต์ อยากจะเปลี่ยนรถยนต์ของคุณเป็นเงินวันนี้เราขอแนะนำแหล่งจำนำรถยนต์ที่ให้ราคาสูงราคาดีที่สุดเหมาะสำหรับผู้ที่เดือดร้อนเงินหรือมองหาทางเลือกในการจำนำรถยนต์ หรือทางเลือกในการหาเงินไปใช้จ่าย ไม่ว่าวันนี้คุณต้องการเงินมากน้อยแค่ไหนวันนี้รถยนต์ของคุณช่วยได้เพียงแค่นำมาจำนำหากจะมารับรถยนต์หรือถอยคืนก็สามารถทำได้ ไม่ยาก เรียกได้ว่าอยู่ในการคุ้มครองของเราอย่างดี มาเปลี่ยนรถยนต์เป็นเงินกันเถอะหากคุณนั้นรีบใช้เงินต้องการเงินด่วนทันใจวันนี้อย่าพลาดโอกาสทอง ให้ราคาสูงได้ราคาดี ไม่กดราคารับประกันว่าราคาสูงเพราะฉะนั้นกล้าการันตีได้ว่าคุณประทับใจราคาจำนำรถยนต์แน่นอน ติดต่อเราได้แล้ววันนี้สอบถามได้ทันที มาเปลี่ยนรถยนต์ของคุณให้เป็นเงินกันจ่ายเงินสด ตรงตามเวลารับเงินสดได้เลยทันทีมองหาเงินด่วนต้องมองหาเราเราคือหนึ่งผู้ให้บริการเงินด่วนทันใจกับรถยนต์ของคุณเปลี่ยนรถยนต์ที่คุณมีไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นอะไรนี่ห้ออะไรสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ก่อนใครแล้ววันนี้ อย่าพลาดโอกาสเปลี่ยนรถยนต์เป็นเงินก้อนโตนำไปใช้ได้ทันใจ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ได้เงินไปใช้

ด้วยเหตุใดเครื่องติดขัดหลังจากที่เราล้างอัดฉีด

ล้างอัดฉีด

การล้างชำระล้างในห้องเครื่องยนต์ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยกับรถจำพวกที่ใช้ระบบควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด หรือกับรถที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์สูง ในความจำเป็นของการล้างอัดฉีดทำความสะอาดในห้องเครื่องยนต์นั้น ถ้าพูดถึงแล้วแทบจะไม่มีความจำเป็นเอาเสียเลย สำหรับรถยนต์ล้ำยุคที่ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงในการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจาก ระบบคาร์บูเรเตอร์เปลี่ยนมาใช้ระบบหัวฉีดหรือระบบอิเล็กทอนิกส์ทำหน้าที่ควบ คุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแทนเพราะหน้าที่ของระบบหัวฉีดจะอาศัยแรงดันจาก ปั๊มหัวฉีดเชื้อเพลิงผ่านตรงท่อไอดี ดังนั้น โอกาสที่หัวฉีดจะอุดตันหรือเปรอะคงจะเป็นไปได้ยุ่งยากมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความ ว่าจะไม่มีวันอุดตันเอาเสียเลย เว้นเสียแต่ว่าจะเสื่อมหรือเสียหายจากอายุการใช้งานเท่านั้น ซึ่งท่านสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองโดยดูลักษณะการกระจายเป็นฝอยของน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะฉีด ตรวจสอบไม่มีการรั่วซึมหรือมีน้ำมันเกาะเป็นหยดที่ปลายหัวฉีด และตรวจเช็คจำนวนการฉีดของน้ำมันแต่ละตัวว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าพบว่ามันผิดปกติถึงจะทำการล้างหรือแก้ไข หลังจากล้างและปรับปรุงเรียบร้อยแล้วก็ควรต้องมีการทดสอบลักษณะการฉีดและ ปริมาณการจ่ายน้ำมันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

ในแบบอย่างเดียวกัน การล้างทำความสะอาดห้องเครื่องจักรกลก็ไม่ได้หมายถึงแค่เฉพาะส่วน ของย่านหัวฉีดเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึงบริเวณส่วนต่างๆ ภายในห้องเครื่องยนต์ด้วย ที่ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาหลังการล้างอัดฉีด ก็คือความรูู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบรรดาเจ้าหน้าที่ปั๊ม ที่นำเครื่องฉีดน้ำที่มีแรงดันน้ำสูงๆ ชนิดฉีดไปตรงไหนเศษดินหลุดแห่งนั้น และยิ่งถ้าเป็นรถยนต์ที่สภาพเก่าๆ แล้ว รับรองได้ว่าต้องมีชิ้นส่วนตรงไหนสักแห่งลอยกระเด็นหลุดออกมาให้สัมผัสหรือ กระเด็นหายลอยไปตามกระแสน้ำได้เหมือนกัน นอกจากชิ้นส่วนจะกระเซ็นออกมาแล้ว ตามจุดซีลต่างๆ ปลั๊กสายไฟ ขั้วสายจานจ่าย สายหัวเทียน ฯลฯ จะมีน้ำเข้าไปซ่อนอยู่ตามรูตามซอก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการลัดวงจรขึ้นได้ และถ้ายิ่งมีน้ำขังไว้นานๆ ขั้วสายไฟต่างๆ อาจจะเป็นสนิมได้ และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เกิดอาการเครื่องสะดุด และทำให้เกิดควันดำได้เหมือนกัน เหตุฉะนี้เมื่อเครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดหรือดับ ควรตรวจสอบที่จุดสายไฟแรงสูง เช่น สายคล้องจุดระเบิด สายหัวเทียน ถ้ามีน้ำเกาะหรือไหลเข้าไปที่ขั้วภายในก็ใช้ผ้าแห้ง เช็ดทำ ความสะอาดที่จานจ่าย หรือถ้ามีน้ำยาไล่ความชื้นก็นำมาฉีดบาง ๆ ที่จานจ่ายและบนตัวเรือน แต่ห้ามใช้น้ำยาฉีดเข้าไปภายในจานจ่าย เพราะจะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในชำรุดได้

ในส่วนของขั้วปลั๊กที่สำคัญ เช่น ปลั๊กแอร์โฟลมิเตอร์(MASS AIR FLOW SENSER) ซึ่งเป็นตัวเซ็นเซอร์วัดปริมาณอากาศที่ติดอยู่ใกล้ๆ กับที่กรองอากาศ และปลั๊กของแคร้งเองเกิล (CRANCK ANGLE SENSER -จานจ่าย ) ปลั๊กของเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น (WATER TEMP SENSER ) และสวิทซ์ลิ้นปีกผีเสื้อ (THROTTLE POSITION SENSER SW. ) ควรสำรวจว่ามีน้ำเข้าอยู่ภายในหรือไม่ โดยการถอดปลั๊กออก สังเกตน้ำที่ขังอยู่ภาย ในถ้ามีให้ใช้ลมเป่าออกให้แห้ง แล้วใช้น้ำยาไล่ความชื้นฉีดไล่อีกที จากนั้นก็นำมาประกอบกลับเข้าที่เดิม แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าได้กระทำตามขั้นตอนหรือเป่าลมตามจุดสำคัญ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่หมดไฟ การล้างห้องเครื่องยนต์ที่ควรกระทำได้คือการใช้น้ำที่ปล่อยไหลออกจากสายยาง เองพร้อม ผ้าหรือฟองน้ำนุ่ม ๆ เช็ดทำความสะอาดเฉพาะจุดที่คร่ำเครอะมากๆ เท่านั้น และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการราดน้ำไปบนชิ้นส่วนที่สำคัญต่างๆ จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดออกให้แห้งและสตาร์ทเครื่อง ยนต์ ปล่อยให้เครื่องร้อนไล่น้ำและความชื้นที่หลงเหลือออกไป เท่านี้ก็สามารถล้างชำระทำ ความสะอาดเครื่องยนต์ของคุณให้สะอาดและใหม่อยู่เสมอ ซึ่งคุณสามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการ อัดฉีดจากปั๊ม ซึ่งจะเกิดผลร้ายให้กับรถยนต์ของท่านโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเป็นได้

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

เข็มขัด นิรภัยในรถยนต์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์ ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุเข็มขัดนิรภัยจะช่วยรั้งผู้ขับ ขี่ หรือผู้โดยสาร ให้ติดกับเบาะที่นั่ง ไม่กระเด็นออกนอกตัวรถหรือไปกระแทกกับส่วนของรถยนต์


สำหรับในประเทศไทยของเรา ได้มีการประกาศใช้กฎหมายที่บังคับให้ผู้ขับขี่รถยนต์ และผู้โดยสาร ที่นั่งตอนหน้าทุกคน ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2540

และก่อนจะมาเป็นเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ เข็มขัดนิรภัยได้ถูกนำมาใช้ครั้งในสมัยสงครามโลกครั้ งที่ 1 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันนักบินตกหล่นลงมาจากเคร ื่องบินในขณะบิน เพื่อทำการต่อสู้ทางอากาศ ซึ่งมีการบินโฉบเฉี่ยวไปมา รวมทั้งพลิกลำตัวเครื่องบิน และด้วยความปลอดภัยนี้เอง เข็มขัดนิรภัย จึงถูกพัฒนามาเป็นเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

ปัจจุบันเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์มี 3 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 4 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดติกับบริเวณของพื้นรถ 2 จุด เพื่อคาดบริเวณตักและอีก 2 จุด ยึดจากโรลบาร์ผ่านเบาะนั่งคนขับ มาบรรจบกับ 2 จุดแรก เข็มขัดนิรภัยแบบนี้นิยมใช้ในรถแข่ง เพราะให้ความปลอดภัยแก่นักแข่งรถสูงสุด

ประเภทที่ 2 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดจากเสากลางหนึ่งจุด และยึดจากพื้นรถอีก 2 จุด เมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยสายเส้นหนึ่ง จะคาดผ่านบริเวณไหล่ของคนนั่ง ส่วนอีกเส้นหนึ่งจะคาดผ่านบริเวณตัก ซึ่งเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุดนี้นิยมใช้ในรถยนต์ทั่วไป โดยติดตั้งที่เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอ นหน้า

ประเภทที่ 3 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดจากพื้นรถด้านหนึ่ง ไปอีกด้านหนึ่ง โดยคาดผ่านบริเวณตัก เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด มักจะใช้กับ ที่นั่งผู้โดยสาร ตอนหลัง แต่รถยนต์รุ่นใหม่บางรุ่นได้มีการเปลี่ยนเข็มขัดนิรภ ัยสำหรับผู้โดยสารที่นั่งตอนหลัง จาก 2 จุด เป็น 3 จุด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังมีความปลอดภั ยมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นเมื่อก้าวขึ้นรถไม่ว่า จะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุก ครั้ง โดยฝึกให้เกิดความเคยชิน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของตัวคุณเอง

ผู้สนับสนุน : http://bestgwholesalegonline.blogspot.com

เทคนิคการขับรถออฟโรด -ลุยโคลน

รถออฟโรด

เป็นอุปสรรคที่สามารถพบได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงฤดูฝน โดยก่อนเริ่มการขับลุยโคลนไม่ว่าจะเป็นแอ่งที่มีความตื้นหรือ ลึก ควรเดินสำรวจโดยรอบก่อน เพื่อหาจุดเหมาะสมในการขับข้าม เพราะสภาพของดินโคลนในธรรมชาติแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน อีกทั้งต้องพิจารณาต่อไปถึงเส้นทางข้างหน้าว่าเป็นอย่างไรและมีความวิบากมาก น้อยแค่ไหน การเลือกใช้ประเภทของเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และความเร็วให้เหมาะสม นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในสภาพเส้นทางราบตรงและมีแอ่งโคลน ไม่ลึกมากขวางอยู่ ควรจะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในตำแหน่งเกียร์ 4H หรือ PART-TME HIGH ก็พอ เพราะมีการกระจายกำลังที่เพียงพอ และใช้ความเร็วที่เหมาะสมในการขับผ่าน ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป

ที่สำคัญควรรักษารอบเครื่องยนต์ให้สม่ำเสมอ บางครั้งหากใช้ความเร็วมากเกินไปประ กอบกับพื้นดินที่อยู่ด้านล่างนุ่มมากเกินไป อาจจะทำให้รถยนต์ติดหล่มได้ อีกทั้งในขณะขับผ่านแอ่งโคลน ควรใช้เทคนิคหักพวงมาลัยซ้าย-ขวา สลับกันไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้หน้ายางตะกายผ่านพื้นผิวของโคลนได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ความเร็วในการแล่น ผ่านทางที่เป็นโคลน ต้องแน่ใจว่าไม่มีหินก้อนใหญ่ ๆ ฝังอยู่ที่พื้นด้านล่าง เพราะยางอาจดีดก้อนหินขึ้นมาจนทำให้เกิดความเสียหายกับยาง หรือตัวรถยนต์ได้ หากแอ่งโคลนข้างหน้ามีขนาดลึก ควรเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตำแหน่งเกียร์ 4L หรือ PART-TIME LOW เพื่อเพิ่มกำลังในการฉุดลากมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางด้านหน้าเป็นทางขึ้นเนินชันรออยู่ คงไม่ดีแน่ หากต้องหยุดรถยนต์เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ใหม่ เพราะอาจจะทำให้การไต่เนินชันทำได้ยากขึ้น และอาจจะต้องลงไปตั้งหลักที่ด้านล่างใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ก่อนที่จะขับผ่านอุปสรรคใดก็ตาม ควรพิจารณาให้รอบคอบถึงเส้นทางต่อไปว่า มีความยากง่ายมากน้อยแค่ไหน ทำอย่างไรเมื่อติดหล่มโคลน หากรู้สึกว่าไม่สามารถขับผ่านแอ่งโคลนไปได้ ไม่ควรฝืนเพื่อผ่านไปให้ได้ด้วยการเหยียบ คันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม เพราะจะทำให้สถานการณ์ แย่ลงไปอีก โดยยางจะจมลงไปในโคลนมากขึ้น หากเป็นรถยนต์ออฟโรดแบบเกียร์อัตโนมัติ ให้เหยียบเบรกและขึ้นเบรกมือไว้ จากนั้นผลักดันคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จึงสตาร์ทเครื่องอีกครั้งโดยที่เท้ายังเหยียบเบรกอยู่ ต่อจากนั้นเข้าเกียร์ต่ำหรือเกียร์ถอยหลังปลดเบรกมือและค่อยปล่อยเท้าจากการ เหยียบ เบรกมากดคันเร่งอย่างค่อยๆ จนตัวรถยนต์เริ่ม มีการเคลื่อนที่ หากเป็นเกียร์ธรรมดา อาจจะใช้วิธีเข้าเกียร์แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้ตัวรถยนต์ กระตุกและเคลื่อนตัวจนถึงหลุดจากหล่มโคลน ถ้ายังติดหล่มอยู่ให้ลองดูอีกครั้ง แต่ถ้าสถานการณ์แย่จริง ๆอาจใช้เครื่องลากหรือวินซ์ในการฉุดลากขึ้นจากแอ่งโคลน

ที่มาจาก : นิตยสาร THAIDRIVER & ผู้จัดการออนไลน์
ร่วมนำเสนอโดย : http://i-love-honda.blogspot.com

ประวัติความเป็นมาซูซูกิ

SUZUKI ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 ต่อมาไม่นานก็กลายมาเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีการขนส่งในระยะแรกๆ เช่น รถจักรยานยนต์ไดมอนด์ฟรี (Diamond Free) และรถยนต์นั่งขนาดเบาซูซูไลท์ (Suzulight) ซูซูกิมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ในโครงการใหญ่ๆ หลายชนิด รวมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีที่ดีและทัน สมัยกว่าเดิม

ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็ได้ถูกนำมาประเมินคุณค่าในการออกแบบนวตกรรมใหม่ๆ
ให้มีคุณภาพสูงสุด

ศูนย์วิจัยและพัฒนาของซูซูกิได้ทำ โครงการวิจัยขั้นพื้นฐานและนำมาประยุคกับเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายและต้องอาศัยการพิจารณาอย่างละเอียดและกว้างขวาง โดยคำนึงถึงการออกแบบและควบคุมด้านเทคโนโลยี, ด้านวัสดุ และด้านอีเลคโทรนิค ด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ในศูนย์เทคโนโลยีอีเล็คโทรนิค ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดอรรถประโยชน์รอบด้าน

ซูซูกิได้พัฒนาความคิดในเรื่องยานพาหนะใหม่ๆ ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ

ใน อาคารทดสอบที่ริวโย (Ryuyo Test Course) มีการทดสอบในรูปแบบต่างๆ ทั้งวันทั้งคืน

โรงงานซินาต้า ที่มีความสามารถในการทดสอบระบบเบรค เช่น ระบบ ABS รวมทั้งการวิเคราะห์แยกแยะโครงสร้างยานยนต์ด้วยคอมพิวเตอร์ ช่วยคิดค้นการออกแบบโครงสร้างยานพาหนะที่ปลอดภัย

ความปลอดภัย, ความเชื่อถือ และความไว้วางใจได้ เป็นผลมาจากมาตรฐานทางวิศวกรรมระดับสูงของซูซูกิ การทดสอบทุกชนิด กระทำขึ้นในโรงงานและบนลู่วิ่งทดสอบ ภายใต้สภาพจำลองการใช้งานที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจะได้มาตรฐานขั้นสูงของซูซูกิ

การตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ครอบคลุมไปถึงความปลอดภัย, ความไว้วางใจได้, ความสะดวกสบายในการโดยสาร และผลกระทบใน
สิ่งแวดล้อม

รถจักรยานยนต์และรถยนต์ซูซูกิได้ เข้าร่วมชิงชัยในสนามแข่งขันความเร็วทั่วโลก ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีสูงสุดอันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ใหม่

ที่มา http://www.suzuki-mahasarakham.com

ทำอย่างไรเมื่อกระจกหน้ารถยนต์แตก

ในการใช้รถใช้ถนนนั้นคงไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์คันเก่งเป็น แน่ ทั้งเสียทรัพย์สินและเสียเวลา แต่อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การขับรถตามรถบรรทุกที่ไม่มีผ้าคลุมกระบะท้าย เศษหินหรือกรวดอาจกระเด็นใส่กระจกหน้ารถคันที่ขับตามมาทำให้กระจกหน้ารถคัน ที่ขับตามทำให้กระจกหน้ารถแตกได้

ถ้ากระจกรถแตกในขณะขับขี่อยู่สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตั้งสติ ควบคุมรถให้ตรงเลน ลดความเร็ว เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายและขับเข้าข้างทางโดยเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินให้ผู้ใช้ ถนนคันอื่นมองเห็น เมื่อจอดรถแล้วให้สังเกตุว่ากระจกแตกเฉพาะจุดหรือแตกละเอียดทั้งบาน ถ้าแตกละเอียดทั้งบานจนมองไม่เห็นทาง แสดงว่าเป็นกระจกชนิด เท็มเปอร์

กระจก "เท็มเปอร์" Temper เมื่อเกิดแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกเป็น ลักษณะข้าวโพดลามทั่วทั้งบานและมองไม่เห็นทาง ถ้าเป็นในเมืองก็เรียกรถยกเข้าศูนย์บริการ แต่ถ้านอกเมืองไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ ก็ต้องเลาะเอากระจกที่แตกละเอียดออกโดยการใช้ผ้าหรือหนังสือพิมพ์รองไว้ที่ หน้าคอนโซลแล้วใช้ไม้ดันให้กระจกหลุดลงมาที่ผ้าซึ่งรองไว้ แล้วค่อยๆ ขับไปหาศูนย์บริการหรือร้านเปลี่ยน ในระหว่างขับต้องระวังเศษกระจกที่จะ
ปลิวเข้าตาด้วย

ส่วนแบบ "ลามิเนท" Laminated ที่แตกเฉพาะจุดและสารถมองเห็นได้แม้จะ มีรอยแตกตรงจุดๆ นั้น เป็นกระจกป้องกันภัยที่พัฒนาขึ้นมาจากแบบเดิมและรถยนต์ในปัจจุบันก็ใช้กระจก หน้าแบบนี้ โดยมีความพิเศษตรงที่เป็นกระจกสองชั้นวางซ้อนกัน ตรงกลางมีแผ่นฟิมล์บางทำหน้าที่ยึดเกาะกระจก ดังนั้นหากเกิดการแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกตรงเฉพาะจุดไม่ลาม


ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนกระหน้าบานใหม่ควรเปลียนเป็น "ลามิเนท" ซึ่งเป็นการปลอดภัยมากกว่าแบบ "เท็มเปอร์" ทั้งนี้ควรดูร้านที่น่าเชื่อถือหรือมีการรับประกันงานซ่อมด้วย

ที่มา : Honda Automobile

Suzuki Swift RX

Suzuki Swift RX คอมแพ็คคาร์สไตล์สปอร์ตโดดเด่นด้วยดีไซน์ พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่นสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเปลี่ยนทุกเส้นทางการใช้ชีวิตให้สนุกสะใจกว่าเดิม

ภายในกว้างสบาย เท่แบบสปอร์ต ด้วยดีไซน์ภายใน ที่สวยเฉี่ยว หรูมีสไตล์ คงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสวิฟท์ เพลิดเพลินกับเพลงโปรดง่ายๆ ด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย และอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB สะดวกสบายด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ

- ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ให้คุณเปลี่ยนเกียร์เร่งแซงได้อย่างมั่นใจ เพิ่มความสนุกทุกสไตล์การขับขี่
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ปรับตั้งล็อกความเร็วได้ตามความต้องการ ทำให้ขับสบายตลอดการเดินทาง
- เบาะนั่ง ทำจากวัสดุคุณภาพสูง ดีไซน์ด้ายสีเงินตัดเบาะดำ
- หัวเกียร์ทรงสปอร์ต โดดเด่นด้วยลายเส้นสีเงิน
- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID โฉบเฉี่ยวมีสไตล์ ให้แสงสว่างมากขึ้นในยามค่ำคืน พร้อมเซ็นเซอร์ปรับระดับแสงอัตโนมัติ
- ไฟท้ายแบบสปอร์ต และ Emblem RX Edition ที่เน้นการออกแบบให้มีมิติ เสริมอารมณ์สปอร์ตให้ผู้ขับขี่
- สปอยเลอร์หลัง เสริมภาพลักษณ์สไตล์สปอร์ต

Suzuki Swift ราคา
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์  1.2 MT  รุ่น GA 442,000.
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์  1.2 MT รุ่น GL 478,000.
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์  1.2 CVT รุ่น GA  480,000.
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์ 1.2  CVT รุ่น GL 516,000.
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์ 1.2 CVT รุ่น GLX  564,000.
ราคา Suzuki SWIFT ซูซูกิ สวิฟท์ 1.2 CVT รุ่น RX  599,000.

ซูซูกิ เออร์ติก้า



หลัง จากบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวรถยนต์ซูซูกิ สวิฟท์ อีโคคาร์ยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งในบ้านเรา ล่าสุดได้จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับออล นิว ซูซูกิ เออร์ติก้า (All New Suzuki Ertiga) เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มีนาคมนี้

ซูซูกิ เออร์ติก้า เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ออกแบบโดยพยายามเน้นจุดเด่น 3 จุด ได้แก่ 1.ความสามารถในการทรงตัวและความสามารถในการยึดเกาะถนนของตัวรถ ด้วยแพลทฟอร์มของตัวรถที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ความกว้างและยาวของฐานล้อถูกออกแบบให้กว้างและยาวขึ้น เพื่อให้เข้าโค้งได้ค่อนข้างนิ่งพอสมควร

2.ความสะดวกสบาย ซูซูกิออกแบบให้เออร์ติก้ามีเบาะหนานุ่ม นั่งสบาย ยืดหยุ่นรับกับสรีระของผู้นั่งได้ดี แม้จะเป็นการขับทางไกลใช้ความเร็วสูงก็ยังไม่ถึงกับเมื่อย นอกจากนี้ยังออกแบบให้สามารถปรับเบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ทำได้ง่าย ใช้ระบบวันทัช วอล์ก-อิน เพียงการสัมผัสครั้งเดียว โดยดันคันโยกขึ้น พนักเก้าอี้จะเอนตัวลง และเลื่อนมายังด้านหน้าได้ง่าย ทำให้เข้าถึงที่นั่งแถว 3 ได้อย่างรวดเร็ว

นอก จากนี้ยังมีช่องแอร์บนเพดานแถวที่ 2 ถึง 4 ช่อง แยกปุ่มควบคุมจากจุดนี้ได้เลย ทำให้สามารถปรับแอร์ให้กับแถวที่ 2 และ 3 ได้อย่างทั่วถึง

3.พื้นที่การใช้งานอเนกประสงค์ เนื่องจากการออกแบบให้ภายในดูกว้าง ปรับเบาะที่นั่งได้หลากหลายรูปแบบ รองรับทั้งผู้โดยสารและขนของได้หลากหลาย

ซูซูกิ เออร์ติก้า ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1373 ซีซี กำลังสูงสุด 95 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ระบบจ่ายน้ำมันเป็นแบบหัวฉีดมัลติพอยท์ เอ็มพีไอ สามารถใช้น้ำมัน อี20 ได้

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมได้แม่นยำพอใช้ ตามสไตล์รถอเนกประสงค์ทรงค่อนข้างใหญ่

ระบบเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน หลังเป็นดรัมเบรก แบบฝักนำและฝักตาม ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง หลังเป็นทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง

เออร์ติก้าถือว่าเป็นรถยนต์เครื่องขนาดเล็ก แต่มีพละกำลังไม่น่าเกลียด แม้ว่าในช่วงการออกตัวต้นๆ อาจจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนรถเก๋งทั่วไป เพราะน้ำหนักตัวรถประมาณ 1,255-1,265 กก. แล้วแต่รุ่น ในขณะที่เครื่องยนต์ขนาดเล็ก แต่ความเร็วสูงสุดเต็มที่เฉียดๆ 160 กม./ชม.

จุดขายหลักของเออร์ติก้าน่าจะอยู่ที่ความอเนกประสงค์ ความใหญ่ของห้องโดยสาร แม้ว่าแถวที่ 3 อาจจะนั่งไม่ค่อยสะดวกนักสำหรับคนรูปร่างใหญ่

นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ เบาะปรับได้หลากหลาย สมฐานะกับที่รถอเนกประสงค์พึงมี และก็อาจจะเพิ่มได้ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ในอนาคต

เออร์ติก้ามีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ GA เกียร์ธรรมดา GL เกียร์อัตโนมัติ และ GX เกียร์อัตโนมัติ

เครดิต : จำนำรถ